OPEN HOURS:
Tuesday - Saturday 11AM - 6PM
Close on Sunday, Monday and Pubilc Holidays
For more information: info@sac.gallery
(English is below)
ผ้าใบสีขาวสามารถสะท้อนพลังและความคิดที่ไร้ขอบเขต ตามแต่ศิลปินจะรังสรรค์ บางคนเป็นสถานที่แสดงตัวตน จุดยืน สำนึกคิด บางคนเป็นที่หลีกหนีจากโลกแห่งความจริง หรือบางคนเป็นสถานที่คงไว้ซึ่งความทรงจำ
ผลงานศิลปะของ จีอาโกโม เดอ ปาซซ์ ในนิทรรศการล่าสุด “The Visitors” คล้ายจะทำงานในหลายรูปแบบ นอกจากเป็นบันทึกการเดินทาง ความทรงจำที่เขามีต่อประเทศไทยแล้ว งานศิลปะเหล่านี้ยังสะท้อนความนึกคิด ตัวตน แง่มุมที่ทรงพลังและไร้ขอบเขตของเขาได้เป็นอย่างดี
อย่างที่เขาอธิบายกับเราว่า ผลงานศิลปะที่ปรากฎในนิทรรศการนี้ เป็นการเยี่ยมเยียนของเทพในโลกตะวันออกอย่างพระพิฆเนศ และตัวละครจากโลกตะวันตกอย่าง Donald Duck ที่มาเดินเล่นด้วยกันบนผืนผ้าใบ ดังชื่อนิทรรศการที่มีความหมายว่า “แขกผู้มาเยือน”
เอส เอ ซี แกลเลอรี ชวนรู้จักจิตรกรและประติมากรอายุ 85 ปี ตำนานแห่งปารีสผู้โลดแล่นอยู่ในวงการศิลปะมากว่า 70 ปี ตั้งแต่จุดเริ่มต้นการทำงานศิลปะ ไปจนถึงแนวคิด งานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศไทย ที่เขากล่าวว่ามีเป้าหมายบอกเล่าเรื่องราวของประเทศไทย สู่สายตาทั่วโลกผ่านงานศิลปะของเขา
จุดเริ่มต้นของศิลปินจีอาโกโม เดอ ปาซซ์ หน้าตาเป็นยังไง
ศิลปะเป็นความต้องการ เป็นสัญชาตญาณของผม เป็นนิสัยที่เริ่มและติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ผมเริ่มวาดรูปลงในสมุดเรียนและสมุดวาดภาพ แค่รู้สึกว่าต้องการวาดรูป เหมือนกับว่าการวาดคือทุกอย่างในชีวิต จนวันนี้กลายเป็นสิ่งที่ผมขาดไม่ได้
ศิลปะเหมือนการบำบัดที่ผมปลดปล่อยตัวเองได้ เป็นสิ่งรักษาสมดุลในชีวิต ผมไม่ได้ระบายสีในฐานะศิลปิน แต่ผมสร้างงานศิลปะเพราะความต้องการส่วนตัว บางครั้งผมแค่อยากระบายสี เพราะอยากหลีกหนีจากโลกที่น่ากลัว
โลกที่น่ากลัวนั้นคืออะไร ช่วยเล่าถึงโลกศิลปะปารีสในยุค 60 - 70 ให้เราฟังหน่อยได้มั้ย
ยุคนั้นมีคนจ่ายเงินให้ผมวาดรูป ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่า ชีวิตผมขาดศิลปะไม่ได้ ช่วงแรกที่มีคนมาชื่นชมผลงาน ผมก็ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร เนื่องจากมันไม่ได้วิเศษ แต่จู่ๆ ผมก็ประสบความสำเร็จ มีคนชวนไปจัดแสดงงานศิลปะในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก
ตอนนั้นผมยังหนุ่มๆ อยู่เลย ได้พบปะศิลปินหลายคนตามแกลเลอรี จัดแสดงงานศิลปะที่เดียวกับ Pablo Picasso ได้เซ็นสัญญากับอาร์ตแกลเลอรีที่มีชื่อเสียง
ก็ฟังดูเป็นความสำเร็จที่ศิลปินหลายคนฝันหา
แต่งานของผมเริ่มกลายเป็นสินค้า เป็นเรื่องของธุรกิจ ซึ่งมันขัดกับตัวผมมาก
เพราะสำหรับผม งานศิลปะเป็นความต้องการแสดงออกอะไรสักอย่าง ผมเลยรู้สึกไม่ชอบ และมองว่าการประสบผลสำเร็จไม่ใช่เรื่องดี เป็นสิ่งอันตราย ไม่ใช่ของขวัญ
ความสำเร็จทำลายความเป็นศิลปินของเราลงได้
นี่คือเหตุผลที่ทำให้คุณตัดสินใจออกมาเป็นศิลปินไร้สังกัด?
ใช่ ตอนนั้นผมเซ็นสัญญากับแกลเลอรีมีชื่อเสียงอย่าง Galerie Félix Vercel และ Madison Gallery ที่นิวยอร์ก ผมอยู่กับพวกเขามา 20 ปี สิ่งที่พวกเขาบอกผมอยู่เสมอคือ เขาขายภาพของผมไปหมดแล้ว และอยากได้ภาพแบบเดิมเพิ่ม
ปัญหาคือผมไม่รู้ว่าจะทำภาพแบบเดิมได้ยังไง ผมทำไม่ได้ เพราะผมวาดรูปตามอารมณ์ ตามความรู้สึกของตัวเอง เช่นเวลาผมรู้สึกดีก็จะวาดภาพที่มีความสวยงาม วาดภาพดอกไม้ วาดเกี่ยวกับเด็ก เพราะตอนนั้นผมเพิ่งมีลูก หรืออย่างตอนผมเศร้าก็ไม่สามารถวาดภาพดอกไม้ได้ จะบอกให้วาดรูปสวยงามก็ทำไม่ได้
แต่ผมไม่สามารถวาดภาพเหล่านี้ไปได้ตลอดชีวิต ผมเลยตัดสินใจเลิกทำงานกับพวกเขา
การเอาตัวเองออกจากวงโคจรนั้น ทำให้คุณเสียอะไรไปหรือได้อะไรคืนกลับมาบ้าง
นั่นคือช่วงเวลาที่เปลี่ยนชีวิตและทำให้ผมกลายเป็นผมในทุกวันนี้ กลายเป็นศิลปินชายขอบ ไม่เป็นศิลปินในสังกัดแกลเลอรี แต่ผมก็ยังจัดแสดงงานตามพิพิธภัณฑ์ ตามแกลเลอรีอยู่เรื่อยๆ แค่ไม่มีสัญญา ผมเป็นศิลปินอิสระที่ไม่มีใครมาบอกให้ทำนู่นทำนี่ เพราะพวกเขามองว่ามันสวย ผมจะวาดแค่สิ่งที่อยากวาด นี่คือจุดเปลี่ยนของผมในโลกทุนนิยมและการเก็งกำไรจากงานศิลปะ
แล้วอะไรไปสะกิดใจให้คุณสร้างงานในนิทรรศการล่าสุด “The Visitors”
มันเหมือนรักแรกพบระหว่างที่ผมอยู่ประเทศไทย ผมมาเมืองไทยครั้งแรกประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว เพราะหลานที่อยู่ที่นี่ชวนมาเที่ยว
ตอนมาถึงผมชอบและถูกจริตกับประเทศไทยมาก เพราะรู้สึกว่าที่นี่มีความเป็นมนุษย์ มีความละเอียดอ่อนทางจิตใจ ประกอบกับผู้คนที่อ่อนโยนเป็นมิตร พอได้ฟังเรื่องราวของเทพที่อยู่ร่วมกับศิลปะ ก็ยิ่งทำให้ชอบขึ้นไปอีก พร้อมๆ กับความประทับใจในวัฒนธรรมไทย ท้ายที่สุดผมก็รู้สึกว่าตัวเองได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมนี้
กำลังอยากรู้เลยว่า คุณไปรู้จักตำนานต่างๆ ของไทยได้ยังไงกัน
ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ผมเดินทางไปวัดหลายที่ แถมยังตักบาตรทำบุญตอนเช้าตลอด และพูดคุยกับชาวบ้าน คนในท้องที่ แล้วผมมีสร้อยพระที่เพื่อนให้ไว้เป็นของขวัญด้วยนะ
ผมมองว่ามันไม่ใช่แค่ของขวัญจากเพื่อน แต่คือของขวัญจากเมืองไทย
การท่องเที่ยวซึมซับศิลปวัฒนธรรมและมุขปาฐะท้องถิ่น มันกลายมาเป็นงานศิลปะของ “The Visitors” ยังไงบ้าง
หากลองมองแต่ละภาพนี้ให้ดี คุณจะเห็นพวกเขา เหล่า Visitors ของผม
มีตัวการ์ตูนจากตะวันตกของ Walt Disney อย่าง Donald Duck พร้อมกับมีพระพิฆเนศเปล่งรัศมีอยู่ และบางรูปก็มีตัวผมปรากฏอยู่ด้วย
ดังนั้น ในงานแต่ละชิ้นจะมีอะไรซ่อนอยู่เสมอ แต่ละภาพมีเรื่องราวต่างกันออกไป ซึ่งผมจะไม่ให้ความหมายหรือให้นิยาม แต่จะปล่อยให้ผู้ชมได้ตีความ เพราะทุกคนมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง
วิธีการทำงานของจีอาโกโม เดอ ปาซซ์ เป็นยังไง
หากให้อธิบายวิธีการทำงานของผมอาจจะยากนิดหน่อย เพราะขณะที่ผมหยิบพู่กันขึ้นมา กางขาตั้งผ้าใบวาดรูป หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าจะมีอะไรดลใจให้วาดรูปออกมาบ้าง เช่นผมอยากลงสีน้ำเงินตรงนี้ผมก็ลง อยากวาดรูปเต่า กบ หนู หรืองูตรงไหนผมก็วาด กระบวนการสร้างงานศิลปะจะเป็นแบบนี้ไปตลอด เป็นไปตามสิ่งที่ดลใจ
ผมไม่มีภาพในหัว ไม่ได้มองเห็นหรือคิดอะไรมาล่วงหน้า ผืนผ้าใบสีขาวเป็นสีที่สวยที่สุดแล้วสำหรับผม จากนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการสร้างร่องรอย เป็นเพียงการเยี่ยมเยียนบนผืนผ้าใบนี้ นิทรรศการครั้งนี้จึงมีชื่อว่า “The Visitors” ไม่ว่าจะเป็นเทพในโลกตะวันออก หรือตัวละครจากโลกตะวันตกที่มาพบและเยี่ยมเยียน มาเดินเล่นบนผ้าใบผืนนี้
ยากไหมกับการสร้างสรรค์ผลงานชุดนี้ ที่คุณบอกว่าต่างจากผลงานศิลปะที่ผ่านมา
อุปสรรคคือสิ่งที่กระทบกับความรู้สึกผม ถ้าช่วงไหนชีวิตมีปัญหา หรือเจอสิ่งที่กระทบอารมณ์ สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงผลงานศิลปะของผมไปเลย เช่นเวลาผมโกรธงานก็จะแสดงออกมาอีกแบบ หากผมอารมณ์ดีงานก็จะแสดงออกมาอีกแบบ
อย่างที่ผมบอกไป ผมไม่มีภาพในหัวมาก่อน ดังนั้น จึงไม่เห็นผลงานของตัวเองในตอนสุดท้าย
ความยากอีกอย่าง คือการบอกให้ตัวเองหยุดวาด เพราะภาพมันเรียกหาเราอยู่เสมอ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วภาพจะบอกเราเองว่าต้องหยุด ภาพจะไม่อยากให้เรายุ่งกับมันอีก
ผมตื่นมาเพื่อทำงานเท่านั้น เมื่อทำเสร็จก็ต้องปล่อยงานไป งานศิลปะของผมคล้ายกับการเลี้ยงลูกและรายล้อมไปด้วยเด็ก คุณต้องสอนให้ลูกๆ ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง เขาไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดเวลา
คุณใช้เวลาทำงานศิลปะในนิทรรศการครั้งนี้นานเท่าไร
ประมาณ 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง ไม่นานเลยใช่ไหม ทำงานเสร็จ พอมีคนชวนมาจัดแสดง ผมก็ตอบตกลงทันที มันเลยไม่เคยจัดแสดงที่ไหนมาก่อน ดังนั้น มันจึงเหมือนเป็นลมหายใจของผม และจัดแสดงครั้งแรกในประเทศไทย
มันอาจฟังดูเชย แต่รู้สึกยังไงบ้างกับการจัดแสดงผลงานครั้งแรกที่ประเทศไทย
ผมรู้สึกยินดีมากกับการเปลี่ยนแปลงในงานศิลปะของผม ซึ่งคนที่ผมจะแลกเปลี่ยนได้มากที่สุดคือคนไทย หลังจากนี้ผมมีแผนจะไปจัดแสดงที่ตะวันตกเพื่อชวนคนมาเที่ยวประเทศไทย มาดูเหล่าเทพต่างๆ ว่ามีความน่าสนใจมากแค่ไหน ไปจนถึงการแลกเปลี่ยนมุมมอง
นี่คือสาเหตุที่ผมสร้างผลงานเหล่านี้ออกมา เพราะอยากชวนชาวตะวันตกที่ไม่รู้จักเมืองไทยมาเที่ยวที่นี่ ให้เกิดความเข้าใจในประเทศไทยและเอเชียมากขึ้น
เราถามคุณมาเยอะแล้ว มีอะไรที่คุณอยากพูดถึงงานตัวเองมั้ย
หากให้ผมพูดอะไรถึงนิทรรศการครั้งนี้ ก็คงไม่มีอะไรมากกว่า ขอบคุณทุกสิ่งที่เมืองไทยมอบให้ ทั้งจิตวิญญาณ ความรู้สึก วัฒนธรรมล้ำลึก ทำให้ผมได้มีพลังสร้างสรรค์ผลงาน และทุกอย่างปรากฏอยู่บนรูปภาพของผม แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าผลงานศิลปะชิ้นต่อไปจะมีหน้าตาเป็นยังไงก็ตาม แต่แน่นอนว่าจะมีแสงสว่างของประเทศไทยซ่อนอยู่ในนั้นเสมอ
__________
Tuesday - Saturday 11AM - 6PM
Close on Sunday, Monday and Pubilc Holidays
For more information: info@sac.gallery
092-455-6294 (Natruja)
092-669-2949 (Danish)
160/3 Sukhumvit 39, Klongton Nuea, Watthana, Bangkok 10110 THAILAND
This website uses cookies
This site uses cookies to help make it more useful to you. Please contact us to find out more about our Cookie Policy.
* denotes required fields
We will process the personal data you have supplied in accordance with our privacy policy (available on request). You can unsubscribe or change your preferences at any time by clicking the link in our emails.