TH | If only it is seen, thus, from afar

May 27, 2025

IF ONLY IT IS SEEN, THUS, FROM AFAR
နီးသယောင် ဝေးကွာ


ศิลปิน

ซิกกี้ เล ဇီကီလေး
ซิน มิน ไตค์ ဇင်မင်းသိုက်
สวอนนี่ စွမ်နီ
ร็อกซี่ โอวัน ရော့ဇီ အိုဝှမ်
นา โทราห์ နာ ထိုးရာ
มีน ชิด ปาย မင်းချစ်ပိုင်
เท็ต อ่อง ลวิน ထက်အောင်လွင်
จอ มีน เท็ต ကျော်မင်းထက်

ภัณฑารักษ์

ซิด กอง เส็ท ลิน ဆဒ် ကောင်းဆက်လင်း
โพธิสัตวา LGBTQ+ แกลเลอรี



 



 

 

ภาคก่อนเรื่อง
ซิด กอง เส็ท ลิน


“...หากเพียงมองจากที่ห่างไกล
แม้จุดหมายมิได้เป็นรักฉันใด
และถึงหากเป็นเช่นนั้น ข้าคงอาจไม่
ได้ครองสวรรค์สักครา?...”

ซิดไม่เคยครอบครองหนังสือกายภาพเล่มใดของ ยูคิโอะ มิชิมะ จนกระทั่งลมฤดูร้อนสาย พ.ศ. 2561 พัดผ่าน ด้วยเหตุบังเอิญ เขาได้ไปพบกับกองหนังสือเก่าแก่เหมือนสมบัติที่ถูกลืม กระจัดกระจายเงียบเศร้าอยู่ที่มุมถนนพันโซดานกับเมอร์แชนต์ในเมืองย่างกุ้ง หนังสือเหล่านั้นเรียงรายตามขนาดและตัวอักษรอย่างไร้ระเบียบ ไม่แบ่งแยกรสนิยมสูงต่ำ มีเพียงการสัมผัสและเสน่ห์ของปกหน้าที่เป็นตัวชี้นำ

 

สำหรับนักศึกษาปริญญาโทที่หมดเนื้อหมดตัว จิตใจเศร้าโศก การได้พบสมบัติทางปัญญาในราคาประหยัดเช่นนั้น ถือเป็นความปีติยินดีที่ไม่อาจหักห้ามใจได้ เกือบจะเป็นเหรียญตราแห่งศักดิ์ศรี ดั่งพิธีกรรมต้อนรับตนเองกลับสู่บ้านเกิดในนามบัณฑิตศิลปศาสตร์ผู้เดินทางกลับมายังย่างกุ้ง

มันปลุกความทรงจำย้อนไปยังวันวานเมื่อเขาเคยลักลอบดาวน์โหลดไฟล์ดิจิทัลของ “Sun and Steel" ของมิชิมะจากกองไฟล์พีดีเอฟลี้ลับ นานก่อนที่ดวงตาจะได้สบกับมันในร้านหนังสือเสียอีก เจ้าของร้านแสดงรอยยิ้มเล็กๆ พลางเสนอส่วนลดที่สูงขึ้น “เจ้าหนุ่ม ไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะหลงใหลในวรรณกรรมญี่ปุ่นด้วย"

 

ปกหนังสือเล่มนั้นประดับด้วยภาพชายเปลือยเปล่าครึ่งหนึ่ง เผยร่างกายที่สมบูรณ์ราวเทพเจ้า ส่วนบนของร่างถูกบดบังด้วยวงกลมสีแดงประกายราวดวงอาทิตย์ ชื่อเรื่อง “Sun and Steel" เด่นเป็นตัวอักษรใหญ่ที่ด้านบน ข้างใต้ตามมาด้วยชื่อรอง คำประกาศส่วนตัวของนักเขียนเกี่ยวกับศิลปะ การกระทำ และความตายอันศักดิ์สิทธิ์

 

ชื่อรองนี้เองที่จับตาซิดได้อย่างแท้จริงและโน้มน้าวให้เขาตัดสินใจครอบครองสำเนากายภาพเล่มนั้นในที่สุด ทุกสิ่งดูเต็มไปด้วยพลังงาน ความปรารถนาเพศเดียวกัน ความโกรธ และความกึกก้อง ชุ่มฉ่ำไปด้วยความเป็นชายที่ผ่านการตกแต่งทางสุนทรียศาสตร์ ท่วงท่าราวหุ่นตุ๊กตาแห่งความกล้าหาญ บนปกที่ย่นยับของหนังสือเล่มนี้ห่อหุ้มด้วยชั้นพลาสติก เปล่งประกายระยับใต้แสงแดดย่างกุ้ง กลายเป็นสำเนาแรกของมิชิมะในคอลเลกชันของเขา

 

หนังสือของมิชิมะให้ความรู้สึกเหมือนสมรภูมิแห่งความปรารถนา เป็นการผสมผสานระหว่างรูปแบบหลังสมัยใหม่กับความเมตตากรุณา ความเข้าใจอันลึกซึ้งอย่างแปลกประหลาด เป็นการมองดูอย่างตั้งใจจริงและเกือบจะศักดิ์สิทธิ์ต่อความรัก ความตาย และความงาม ความอ่อนโยนปรากฏในการเขียนที่โหดเหี้ยมและเฉียบเย็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านของความเป็นคนที่ต่างไป และการเปลี่ยนแปลงนั้นถูกสร้างให้สัมผัสได้จริง

 

เมื่อปีที่แล้ว ซิดได้เดินทางไปยังบ้านของซิน ที่ตั้งอยู่ในย่านชานเมืองอันเงียบสงบของกรุงเทพฯ เมืองที่เป็นเสมือนกระจกสะท้อนและในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนคนแปลกหน้าต่อย่างกุ้งบ้านเกิดของเขา เมืองแห่งนี้เคยเป็นที่หลบภัยที่คุ้นเคย เคยต้อนรับเขาในช่วงเวลาสั้นๆ สามวันที่นี่ สี่วันที่นั่น ไม่เคยยืดเยื้อเกินกว่าสองสัปดาห์ การมาเยือนเหล่านั้นเป็นเพียงแค่การแวะผ่าน ฉับไว และเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ขับเคลื่อนด้วยความตื่นเต้นจากการค้นพบสิ่งใหม่และการจากลาที่ไม่ยากเย็น แต่ครั้งนี้ กรุงเทพฯ ได้เปิดเผยใบหน้าอีกโฉมที่ต่างออกไป

 

จังหวะของชีวิตเริ่มชะลอตัวลง เพื่อนๆ เริ่มลงหลักปักฐาน วีซ่าได้รับการอนุมัติ สัญญาเช่าบ้านเซ็นเสร็จ นามสมมติถูกเขียนลงในใบสมัครงาน นายหน้าต่างๆ ค่อยๆ กลายเป็นที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ คอยช่วยจัดการเรื่องงานและทุนการศึกษา

 

นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ แห่งวันวานอีกแล้ว ไม่มีความบ้าคลั่งในการช้อปปิ้งท่ามกลางอำนาจของเคตามี​น​พร้อมกับงานเลี้ยงข้างถนน ไม่มีการไปเที่ยวชายหาดเก๋ๆ ​ ไม่มีการหมุนวนไม่รู้จบของปาร์ตี้ และแน่นอนไม่มีการรีบกลับบ้านหลังสุดสัปดาห์ที่เลือนลางไปด้วยความเมา

 

แต่ในห้องส่วนตัวของซินที่เป็นเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มิวสิกวิดีโอเพลง “Cool With You" ของ NewJeans กำลังฉายอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ ทำนองอันบริสุทธิ์ของมันลอยไปตามสายลม ขณะที่เพื่อนๆ กระจายตัวนั่งเล่นอยู่รอบๆ เพื่อนสามคนจมอยู่ในโลกของเกม MOBA บนมือถือ บุหรี่มวนที่ม้วนอย่างประณีตวางกระจัดกระจายเหมือนเครื่องบูชาแก่ยามเย็น พร้อมกับเสียงตะโกนว่า “ไม่ไหวแล้ว!"

 

​​การรวมตัวกันแต่ละครั้งมีพิธีกรรมสามอย่างเสมอ แสงนุ่มนวลจากมิวสิกวิดีโอ การพูดคุยเบาๆ เกี่ยวกับคนใหม่ๆ ที่กำลังมาตั้งรกรากในกรุงเทพฯ และเสียงร้องเบาๆ ของสัตว์เลี้ยงหรือเสียงที่ทำให้นึกถึงบ้าน “Cool With You" ไม่ใช่แค่เพลงเบื้องหลัง มันคือศิลปะที่ถูกเลือกสรรมาอย่างดี เป็นการผสมผสานที่สวยงามระหว่างความดึงดูดเชิงพาณิชย์และความกล้าหาญทางศิลปะ

 

ใน พ.ศ. 2567 NewJeans ได้เปลี่ยนเคป๊อปให้กลายเป็นพื้นที่ที่อยู่ระหว่างเก่าและใหม่ โดยสร้างสมดุลระหว่างสิ่งดั้งเดิมและความแปลกใหม่ มิวสิกวิดีโอที่มีโครงสร้างเป็นสองส่วน สร้างบทสนทนาระหว่างความสมมาตรและความตรงข้าม โดยใช้ภาพวาด L'Amour et Psyché (พ.ศ. 2360) ของฟรองซัวส์-เอดูอาร์ด ปิโกต์ เป็นจุดศูนย์กลาง ผลงานแบบนีโอคลาสสิกที่บันทึกช่วงเวลาในตำนานที่เทพอีรอสปลุกไซคี เป็นสัญลักษณ์ของพลังการเปลี่ยนแปลงของความรักและการรวมกันของคนธรรมดากับเทพเจ้า มีจองโฮยอนรับบทเป็นเทพอีรอสและโทนี่ เหลียง เป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ การเล่าเรื่องที่แตกหักและไม่เป็นเส้นตรงนี้ท้าทายรูปแบบเคป๊อปปกติที่จะขัดเกลาเรียบร้อย โดยทอเรื่องราวจากตำนานเข้าไปและประกาศการมาถึงของศิลปะรูปแบบใหม่

 

ลาซารัสและอีรอส สองบุคคลที่ก้าวออกจากห้วงเวลาศักดิ์สิทธิ์และตำนาน ทั้งคู่นำพาความลึกลับแห่งการหวนคืน ลาซารัสผู้ถูกปลุกจากความตายด้วยโองการแห่งสวรรค์ ผุดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของการยอมจำนนและจิตวิญญาณที่เกิดใหม่ อีรอส เทพเจ้าแห่งความรัก ปลุกไซคีให้ตื่น ไม่ใช่ด้วยคำสั่ง แต่ด้วยสัมผัสอันอ่อนโยน ความปรารถนาคือการฟื้นคืนชีพ ความใกล้ชิดคือลมหายใจ ทั้งสองยืนหยัดที่บานประตูแห่งการเปลี่ยนผ่าน จากความมืดมิดสู่แสงสว่าง จากความว่างเปล่าสู่ความเป็นจริง


เมื่อซิดกำหนังสือ “Sun and Steel"  ไว้ในมือเป็นครั้งแรก มันรู้สึกเหมือนเครื่องรางที่จะปลุกจิตวิญญาณให้ตื่นรู้ บัดนี้ เมื่อได้เห็นตำนานแห่งอีรอสถือกำเนิดใหม่ใน “Cool With You” เสียงของมิชิมะก็พลันหวนกลับมา ทั้งน่าพรั่นพรึงและมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งสองต่างเดินตามเส้นสายบางเบาเดียวกัน คือการชุบชีวิตอันเปราะบาง

 

ลาซารัสของมิชิมะที่ถูกหลอมหล่อใน “Sun and Steel" เป็นฟีนิกซ์เดียวดาย ร่างอาบไปด้วยแสงทอง จิตใจหุ้มด้วยเกราะเหล็ก ความมุ่งมั่นของเขาเป็นดั่งสิ่วของช่างแกะสลัก แกะเนื้อหนังจากความอ่อนแอ และจุดจบของเขาเป็นการเลือกจะตายด้วยตัวเอง ตรงกันข้าม… ในอ้อมแขนของอีรอส ไซคีผลิบานด้วยสายตาของอีกผู้หนึ่ง ร่างของเธอถูกรักอันละมุนละไมปลุกให้มีชีวิตอีกครั้ง แต่กลับค่อยๆ ละลายหายไปเมื่อความจำเริ่มพร่ามัว

 

มิชิมะแสวงหาความเป็นนิรันดร์กาล เส้นทางแห่งนักรบของเขาถูกสลักด้วยหินอ่อนแห่งกาลเวลา “Cool With You" จึงร่ายรำอยู่ในห้วงเวลาอันแสนเปราะบาง ท่วงทำนองอันแผ่วเบาโอบอุ้มคลื่นรักอันแสนฉาบฉวยของอีรอสไว้อย่างแผ่วพลิ้ว

 

ภัณฑารักษ์ที่ไม่มีพื้นที่ ก็ไม่ต่างจากสุนัขที่ถูกพรากกระดูกไป เหลือไว้เพียงเสียงพร่ำพูดไม่หยุด กับการเดินวนไปมาอย่างกระวนกระวาย วันแต่ละวันถูกร้อยรัดด้วยโครงสร้างของความหมกมุ่น ซึ่งคล้ายใยแมงมุมที่ทอจากความไม่แน่นอนอันไร้ทิศทาง


แต่สิ่งที่ทำให้ซิดงุนงงเสมอ ก็คือเมื่อเส้นใยเหล่านั้นกลับมาผูกเข้ากับแผนการที่เป็นรูปธรรม หรือกับช่วงความสนใจที่สั้นจนน่าใจหาย...ตัวชี้วัดอันบอบบางของการเอาตัวรอด

 

เหนือสำรับอาหารไทยที่จัดไว้อย่างเรียบร้อยใกล้ดอนเมือง เขาและโอ๊ตได้พูดคุยกัน บทสนทนาไหลเวียนไปตามเนื้อผ้าของคำว่าบ้าน ความโหยหา โอกาสในการทำงาน และมิตรภาพ

โอ๊ตไม่ได้แค่ “ฟัง” ซิด แต่ “รับฟัง”  


ในฐานะศิลปินเควียร์และผู้ก่อตั้ง Bodhisattva LGBTQ+ Gallery โอ๊ตรองรับเศษเสี้ยวของความคิดที่กระจัดกระจายของซิดไว้อย่างอ่อนโยน แล้วหักเหออกเหมือนแสงผ่านกระจกสี ทำให้ซิดนึกขึ้นได้ว่า ท่ามกลางหมู่เพื่อนเควียร์ของเขานั้น ข่าวลือ อกหัก และความฝันกลางวัน สามารถแปรเปลี่ยนเป็นงานศิลปะได้อย่างรวดเร็ว


มันคือเวทมนตร์ของเควียร์… การแปลง “การเอาชีวิตรอด" ให้กลายเป็น “ความงาม" คือการจดจำสิ่งที่ไม่มีใครอยากอยู่กับมัน ด้วยความอาทร


บางที มันอาจเป็นเพียงการก่อรัฐประหารต่อความทรงจำของซิด หรือผีเงาของสิ่งสุดท้ายที่เขายังคว้าจับไว้ได้ ไออุ่นจากร่างกายที่เคยกอดไว้ หรือสภาพห้องของเขา ที่เคยมีเศษขนมปังเกลื่อนพื้น บัดนี้กลับถูกกวาดเก็บจนสะอาดราวกับกระดานเปล่า

 

เมื่อมองในแง่นี้ มันไม่เหมือนความหมกมุ่นที่จะเอาชนะความสับสน แต่เป็นเหมือนพิธีกรรมแห่งการเกิดใหม่

 

และแน่นอนว่า เขาไม่ได้อยู่คนเดียว รอบตัวเขามีศิลปินและเพื่อนๆ อีกหลายคน กระจายตัวอยู่ในกรุงเทพฯ ราวกับดาวเคราะห์ที่โคจรอย่างเงียบงัน 


พวกเขาพกติดตัวมาเพียงแผนระยะสั้น กับความโหยหาระยะยาว พวกเขาใช้ชีวิตไปวันต่อวัน ไม่ได้ยึดเหนี่ยวด้วยความมั่นคง แต่ด้วยกันและกัน

 

จงรู้สึกถึงเมืองนี้ ที่ทอดเงาเข้ามาใกล้อย่างน่าประหลาด


ในขณะที่ “บ้าน” กลับยังห่างไกลจนแทบเอื้อมไม่ถึง ราวกับคำวิงวอนให้เฝ้ามองจากระยะไกล

และในที่นั้นเอง ความเปราะบางของจิตใจเริ่มปรากฏ มือที่จับกันแน่นเพื่อต้านการพังทลาย ขอบฟ้าที่ค่อยๆ เลื่อนหลุดไปจากสายตา ปรากฏเพียง…


“...หากเพียงมองจากที่ห่างไกล
แม้รักไม่เคยเป็นเป้าหมายใด
และหากเคยเป็นเช่นใจหมาย
ข้ายังไร้สิทธิ์อยู่เคียงชั้นฟ้าอัมพร”
 
 



สวอนนี่ (เกิด พ.ศ. 2536) เป็นศิลปินเควียร์ชาวเมียนมาที่เกิดในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา และปัจจุบันอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยประสบการณ์กว่าแปดปีในฐานะสไตลิสต์แฟชั่นและอาร์ตไดเรกเตอร์ทั้งในเมียนมาและประเทศไทย เธอถักทอการเล่าเรื่องเข้ากับงานศิลปะของตนเอง โดยใช้การเคลื่อนไหวและความทรงจำในการถ่ายทอดเรื่องราวส่วนตัว

 

“ความทรงจำแรกสุดที่ฉันแสดงตัวตนผ่านการเคลื่อนไหว ย้อนไปเมื่อเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่หนึ่ง ตอนที่ฉันลงเรียนรำพม่าซึ่งเป็นคลาสที่จัดไว้สำหรับเด็กผู้หญิง ฉันไม่ได้คิดเรื่องเพศเลย ฉันแค่อยากรำ แต่ความปรารถนาที่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มกลับต้องแลกมากับการถูกกลั่นแกล้ง ความอับอาย และความรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง ฉันไม่เคยกลับไปเรียนอีกเลยหลังจากเรียนได้เพียงสองครั้ง

 

“สามสิบปีต่อมา หลังจากการทบทวนตัวเองอย่างลึกซึ้งและการลบล้างสิ่งที่สังคมยัดเยียดให้ ฉันได้พบกับภาวะการตายลงของอัตตา และได้พบกับชุมชนของฉัน ได้ถอดเปลือกที่ไม่ใช่ของตัวเองออก และเริ่มยอมรับตัวตนและศักยภาพของตัวเอง ‘A Body On Repeat’ คือบทสรุปของการเดินทางนั้น การเชื่อมโยงระหว่างเด็กที่เคยเต้นเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ กับผู้ใหญ่ที่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกเพื่อเอาใจใครอีกต่อไป

 

“ฉันเลิกแสดงแล้ว แต่การยอมรับตัวเองไม่ใช่จุดหมายปลายทาง มันคือวงจร แม้ในวันที่ฉันรู้สึกว่าได้อยู่ในร่างกายของตัวเองอย่างแท้จริง ความกดดันให้ต้องเหมือนคนอื่นก็ไม่เคยหายไปอย่างสมบูรณ์”

 


ร็อกซี่ โอวัน (เกิด พ.ศ.  2541) เป็นศิลปินข้ามสื่อที่ปัจจุบันอาศัยและทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ โดยผลงานของเธออยู่ในจุดตัดระหว่างแฟชั่น การถ่ายภาพ และการเล่าเรื่องผ่านทัศนศิลป์ การทำงานของเธอเริ่มต้นจากพื้นฐานของการถ่ายภาพพอร์เทรตและวัตถุ โดยมีจิตวิญญาณบางเบาแทรกอยู่ในกระบวนการสร้างสรรค์ ระหว่างการเรียนมหาวิทยาลัย เธอได้ขยายขอบเขตไปสู่งานสไตลิ่ง ออกแบบฉาก และการเป็นอาร์ตไดเรกเตอร์ ซึ่งหลอมรวมกันจนกลายเป็นนิทรรศการจบปีสุดท้ายที่ตอกย้ำวิธีคิดแบบลื่นไหลและไร้ข้อจำกัดทางสื่อของเธอ

 

“เส้นผมเป็นวัสดุและสัญลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นซ้ำๆ ในงานชุดนี้ สำหรับฉัน มันคือสิ่งที่มีความหมายอย่างลึกซึ้งทั้งในระดับส่วนตัวและวัฒนธรรม เป็นภาชนะบรรจุความทรงจำ อารมณ์ และตัวตน เส้นผมบันทึกร่องรอยของกาลเวลา มันเป็นพยานเงียบต่อการเปลี่ยนแปลงของเรา เก็บเศษซากของความโศกเศร้าและความสุขไว้ และจดจำการเติบโตของเราด้วยความเงียบงาม ในนิทรรศการชุดนี้ เส้นผมคือความพยายามของฉันในการทวงคืนอัตลักษณ์ และยืนยันคุณค่าของตัวเอง ความผูกพันของฉันกับเส้นผมก็เหมือนการปกป้องบางส่วนของตัวตนไว้ ในฐานะพยานที่เงียบงันต่อหมุดหมายของชีวิต ตั้งแต่การตัดผมครั้งแรก ไปจนถึงช่วงเวลาแห่งความสูญเสีย การเติบโต และการเปลี่ยนผ่าน”

 


มีน ชิด ปาย (เกิด พ.ศ. 2533) เป็นศิลปินละครเวทีและนักเขียนจากเมืองปะลอ แคว้นตะนาวศรี ประเทศเมียนมา ผลงานของเขาผสานจินตนาการและความจริงเข้าด้วยกัน เพื่อสำรวจเรื่องเล่าที่มีชั้นเชิงและคล้ายความฝัน เดิมเขาเคยเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของนิตยสาร MODA, นักออกแบบฉากภาพยนตร์ และผู้จัดการแกลเลอรีที่ Myanm/art & Spaces-31 ปัจจุบันเขามุ่งเน้นไปที่โครงการด้านวรรณกรรมเป็นหลัก


“ทุกวันนี้ ผู้คนถูกถาโถมด้วยข้อมูล เราเลื่อนหน้าจอมากกว่าที่จะอ่านจริงๆ ผมไม่ได้พูดแบบตำหนิ แต่พูดด้วยความเข้าใจ ในงานจัดวางของผม การอ่านกลายเป็นการต่อสู้อย่างหนึ่ง ไม่ใช่แค่อ่านเฉยๆ แต่คุณต้องต่อสู้เพื่อจะอ่านจบในลมหายใจเดียว ต้องพยายามคว้าสายใยของเรื่องราวไว้ก่อนที่มันจะหลุดมือ การอ่านก็เหมือนกับการเขียน มันต้องใช้ความพยายาม และผมอยากให้ผู้ชมรู้สึกถึงการต่อสู้นั้นอย่างเป็นรูปธรรม ในฐานะส่วนหนึ่งของประสบการณ์”

 


จอ มีน เท็ต (เกิด พ.ศ. 2543) เป็นศิลปินข้ามสื่อจากเมียนมา ผู้สร้างสรรค์ผลงานหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ภาพถ่าย ประติมากรรม ไปจนถึงงานจัดวาง เดิมทีเขาได้รับการฝึกฝนด้านวิศวกรรมทางทะเล ก่อนจะหันมาสู่ศิลปะเพื่อสำรวจประเด็นว่าด้วยอำนาจ อัตลักษณ์ และความไม่ยั่งยืนของสภาวะต่างๆ

 

“ผลงานชิ้นนี้มีจุดเริ่มต้นจากมนตร์ส่วนตัวที่ผมมักจะย้อนกลับไปทบทวนเสมอ ระหว่างการเดินทางในเขาวงกตของความปรารถนา ความสุข และความใกล้ชิด ผมได้บันทึกวัฏจักรหนึ่งที่ทั้งไม่มีที่สิ้นสุดและลึกซึ้ง เป็นวัฏจักรที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนา ความโหยหา และแรงดึงดูดอันสับสนของการเชื่อมโยงกัน ในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนพลัดถิ่น

 

“เราหันกลับไปหาการสัมผัส เราเดินเข้าสู่วงจรนั้นอีกครั้ง เพื่อที่จะถูกมองเห็น—เพียงชั่วครู่ เพื่อที่จะเป็นที่ปรารถนา—แค่หนึ่งชั่วโมง เพื่อที่จะถูกถามด้วยความสงสัยว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับประเทศของคุณ?’ เพื่อที่จะถูกรวบกอด—เพียงหนึ่งวินาทีที่รู้สึกยาวนานราวชั่วนิรันดร์ และแล้ว…มันก็หายไป”

 

 

เท็ต อ่อง ลวิน (เกิด พ.ศ. 2541) เป็นผู้สร้างภาพยนตร์เควียร์ผู้มุ่งมั่นในการเล่าเรื่องเพื่อปลอบโยนตัวตนของตัวเองในวัยเยาว์

 

“ฉันจะหลีกเลี่ยงความคาดหวังเหล่านี้ได้อย่างไร โดยที่ยังคงเป็นตัวของตัวเอง? ศิลปะจะไร้คุณค่าไหมหากไม่ได้สะท้อนการเมือง? หรือแท้จริงแล้ว ศิลปะทั้งหมดก็มีความเป็นการเมืองในตัวอยู่แล้ว เพราะมันคือการตอบสนองต่อบริบทของช่วงเวลาหนึ่ง? แล้วบริบททางการเมืองนี่เองหรือ ที่ทำให้ศิลปะชิ้นหนึ่งกลายเป็นงานที่ดี? คำถามเหล่านี้ ฉันมักถามตัวเองอยู่เสมอ

“แต่เหนือสิ่งอื่นใด…ฉันกำลังล้อเลียนตัวเองต่างหากล่ะ”

 


นา โทราห์  (เกิด พ.ศ. 2532) เป็นศิลปินทัศนศิลป์จากท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ผู้สำรวจพื้นที่เปราะบางของอัตลักษณ์ อารมณ์ และการปลดปล่อย ปัจจุบันเธออาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยใช้งานศิลปะเป็นเครื่องมือในการนำทางผ่านความตึงเครียดระหว่างความจริงของตัวเองกับความคาดหวังของสังคม

 

“ในกระบวนการสร้างงานครั้งนี้ ฉันเลือกที่จะถ่ายทอดลำตัวที่แข็งแกร่งและไร้เพศ เป็นสัญลักษณ์ของสมดุลและความกลมกลืน สมัยเด็กๆ ฉันเคยคิดว่าตัวเองอยากเป็นผู้ชาย ฉันแต่งตัวเหมือนผู้ชาย ทำตัวเหมือนผู้ชาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็เริ่มเข้าใจว่า แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ความต้องการจะเป็นผู้ชาย แต่มันคือความต้องการจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม


“ฉันเติบโตมาในสังคมที่ความเป็นผู้หญิงมักถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง ถูกจำกัดด้วยบทบาททางเพศ ดังนั้นโดยธรรมชาติ ฉันจึงมองความเป็นชายว่าเป็นหนทางสู่พลังและความเคารพ แต่วันนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า...มันไม่เคยเกี่ยวกับเพศเลย สำหรับฉัน มันคือเรื่องของเสรีภาพและความเท่าเทียมมาตลอดต่างหาก”


 

ซิน มิน ไตค์ (เกิด พ.ศ. 2537) จากเมืองลอยก่อ รัฐกะยา เป็นศิลปินข้ามสื่อที่สำรวจความทรงจำ อัตลักษณ์ และการเปลี่ยนผ่านผ่านผลงานประติมากรรม เขาศึกษาศิลปะที่ Pratt Institute โดยมี Susan Cianciolo และ Mike Eckhaus เป็นที่ปรึกษา และใช้วัสดุต่างๆ อย่างผ้า ซิลิโคน และวัตถุที่พบเจอ มาผสมผสานกันเพื่อสร้างเรื่องเล่าที่จับต้องได้ว่าด้วยการดำรงอยู่แบบเควียร์และมรดกทางวัฒนธรรม

 

“ตำนานกินรีและกินนรเป็นสิ่งที่เงียบงันแต่คงอยู่ในชีวิตของผมเสมอ ทั้งในธงชาติ ศาลบูชาของครอบครัว และลวดลายประดับในชีวิตประจำวัน ในผลงานชุด Kin’ กินรี กินนรไม่ได้กลับมาในฐานะสัญลักษณ์ตกแต่ง แต่เป็นอุปมาเชิงส่วนตัวว่าด้วยการดำรงอยู่แบบเควียร์ การพลัดถิ่น และสายสัมพันธ์ กินนรีและกินนรที่เป็นครึ่งคนครึ่งนกเหล่านี้แบกรับความเป็นคู่ที่ลึกซึ้ง การบินและการยึดโยง จิตวิญญาณและร่างกาย ปัจเจกและส่วนรวม ซึ่งสอดคล้องกับประสบการณ์ของผมในการดำรงอยู่และนิยามตัวตน

 

“ผมไม่ได้กำลังวาดภาพตำนาน แต่ใช้มันในเชิงบรรยากาศ เป็นโครงสร้างที่รองรับน้ำหนักของความทรงจำ การเปลี่ยนผ่าน และร่างกายที่มีหลายชั้น แต่ละชิ้นงานประติมากรรมจึงมีร่องรอยของพ่อแม่ ความสัมพันธ์ และบ้านที่ผมจากมา รวมถึงบ้านที่ผมแบกติดตัวมาด้วย”

Add a comment