"Firmament in Flux" โดย กีอก จอน ระหว่างลมหายใจและสายตา นิทรรศการที่ชวนคุณสัมผัสพลังที่ไร้รูปร่างแต่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัว

Article : Panich Tangwichitrerk Photo : Marisa Srijunpleang
June 25, 2025
"Firmament in Flux" โดย กีอก จอน ระหว่างลมหายใจและสายตา นิทรรศการที่ชวนคุณสัมผัสพลังที่ไร้รูปร่างแต่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัว

(English is below)

 

หากพูดถึง ชี่ (Qi) หรือลมปราณ เราอาจนึกถึงการฝึกวิทยายุทธหรือหนังกำลังภายใน แต่จริงๆ แล้ว ชี่คือพลังชนิดหนึ่งที่เชื่อกันว่า ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของสิ่งมีชี่วิต รวมถึงมนุษย์เรา แม้มองไม่เห็นรูปร่างหน้าตา แต่เป็นสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนเราในชีวิตประจำวัน และสร้างทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่เด็กจนโต

 

“Firmament in Flux” คือนิทรรศการเดี่ยวครั้งใหม่ของศิลปินชาวเกาหลีใต้ กี-อก จอน (Gi-ok Jeon) โดยมี ลิลี่ ตันประเสริฐ เป็นคิวเรเตอร์ ที่หยิบจับพลังที่มองไม่เห็นนี้มาเล่าผ่านงานศิลปะหลากหลายประเภท 

 

หลังจากรูดม่านเปิดนิทรรศการไปแล้ว เราหาโอกาสที่ทั้งศิลปินและคิวเรเตอร์พอมีเวลาว่าง มาสนทนาถึงเบื้องลึกและเบื้องหลังผลงานในนิทรรศการครั้งนี้

 


01

ศิลปินตั้งชื่อนิทรรศการด้วยการหยิบเอาศัพท์โบราณที่ไม่ค่อยได้เห็นกัน คือ “Firmament” ที่หมายถึง ท้องฟ้า ขณะที่ในคัมภีร์ไบเบิลจะพบว่า คำนี้มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น เพราะถูกนำมาใช้ในบริบทที่สื่อถึงเขตกั้นระหว่างน้ำบนสวรรค์กับโลกมนุษย์ ตามแนวคิดในจักรวาลวิทยาแบบตะวันตก ก่อนนำมาผสมเข้ากับคำว่า “in Flux” ที่หมายถึงการเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง

 

การนำสองคำนี้มารวมกันเพื่อต้องการสื่อถึงบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหว ไม่เพียงแค่บนท้องฟ้า แต่รวมถึงอะไรก็ได้ที่วนอยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นคน ธรรมชาติ หรือจักรวาล ก็ตาม ซึ่งนัยหนึ่งก็คือ พลังชี่ นั่นเอง

 

 

“จริงๆ ที่เมืองจีน เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นเรื่องธรรมดามากๆ ใครๆ ก็เข้าใจ” ศิลปินเริ่มอธิบายถึงคอนเซปต์ที่นำมาใช้ทำงาน และยกตัวอย่างถึงพลังชี่ให้เห็นภาพง่ายๆ ว่า “ชี่เป็นสิ่งที่อยู่รอบตัว เหมือนเวลาลมเป่าก็รู้สึกว่าเย็น”

 

ถึงสิ่งนี้อาจไกลจากการรับรู้ของคนไทยอย่างเรา แต่ในหมู่ชาวเอเชียตะวันออก เช่น จีน เกาหลี และญี่ปุ่นแล้ว ชี่ถือเป็นสิ่งที่อยู่ในมโนสำนึกของคนในสังคม และเป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิต ที่ฝังลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ เพราะเกี่ยวพันกับความเชื่อและศาสนา

 

เช่นกับกับงานศิลปะของกีอก ที่ผ่านมา ผลงานของเธอมักมีพลังที่มองไม่เห็นนี้แทรกอยู่ในงานเสมอ จนกลายเป็นเสมือนลายเซ็นที่สื่อถึงตัวตนของเธอ แม้ฉากหน้าจะเป็นการเล่าเรื่องราวต่างๆ เช่น ความหลากหลายและแตกต่างทางวัฒนธรรม สุนทรียภาพแบบตะวันออกและตะวันตก หรือความเป็นแม่ ซึ่งส่วนมากได้แรงบันดาลใจมาจากตัวเอง ซึ่งก็มีชี่อยู่เบื้องหลัง แต่สำหรับนิทรรศการครั้งนี้ต่างออกไป เพราะเธอหยิบชี่มาชูเป็นคอนเซปต์หลัก ตั้งใจบอกเล่าเรื่องราวของศาสตร์โบราณนี้

 

 


02

เมื่อเดินเข้ามาในห้องจัดแสดง นอกจากจะพบกับ Wall Text ที่เล่าแนวคิดของงานเป็นอันดับแรกแล้ว คิวเรเตอร์ยังตั้งใจแสดงสิ่งต่างๆ ที่ประกอบสร้างขึ้นมาเป็นงานในครั้งนี้อยู่ข้างกัน เช่น หนังสือที่ศิลปินอ่าน และงานสเกตช์

 

“เลย์เอาต์ในนิทรรศการวางแผนไว้หมดแล้ว ให้เริ่มดูตรงกลาง มี Wall Text และ Introduction เกี่ยวกับสเกตช์ของศิลปิน ศิลปินอ่านหนังสืออะไร ได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร มีสเกตช์ที่มีความคล้ายกับงานที่โชว์ไว้ต่อยอดกัน” คิวเรเตอร์เสริมถึงการออกแบบการเล่าเนื้อหาในนิทรรศการนี้ 

สำหรับนิทรรศการนี้เป็นครั้งแรกที่ลิลี่ได้มาคิวเรตนิทรรศการศิลปะในประเทศไทย หลังจากเรียนจบมาด้านนี้โดยตรงจากลอนดอน ประเทศอังกฤษ และยังเป็นครั้งแรกของการได้มาดูแลนิทรรศการของคุณแม่ จึงนับเป็นโอกาสพิเศษไม่น้อย

 

 

“ขณะที่เรียนก็เริ่มคุยกับแม่เรื่องงานที่จัดครั้งนี้แล้ว คุยงานทุกวัน จนกลับมาที่ไทย ที่สำคัญเลยต้องไปดูพื้นที่ที่เอส เอ ซี จะจัดยังไงให้มันเข้ากับคอนเซปต์ที่ศิลปินทำอยู่” ลิลี่เล่าถึงการทำงานกับคุณแม่ ซึ่งมีทั้งความยากและง่ายผสมกัน 

 

“เพราะเรารู้เนื้อเรื่องอยู่แล้ว มันง่ายตรงที่เรารู้ทุกอย่างหมดแล้ว เราไม่ต้องไปใช้เวลารีเสิร์ชมาก ก็ร่นเวลาได้ แต่ก็มีสิ่งที่ยาก เจอหน้าทุกวัน คุยด้วยทุกวัน บางครั้งก็เครียดนิดหน่อย (หัวเราะ)” นอกจากนี้ ยังมีเส้นแบ่งระหว่างความเป็นศิลปินกับคิวเรเตอร์ และแม่กับลูก ที่บางครั้งอาจข้ามเส้นไปมาโดยที่ไม่ทันรู้ตัว ซึ่งนี่เป็นอีกสิ่งที่ยากและเจอระหว่างการทำงาน

 

กว่าจะมาเป็นนิทรรศการครั้งนี้ กีอกใช้เวลาถึง 2 ปีครึ่งในการทำงาน ซึ่งการถ่ายทอดสิ่งที่เป็นนามธรรมเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านการค้นคว้าอย่างลงลึก และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ แม้เรื่องพลังชี่จะเป็นสิ่งที่แวดล้อมอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของศิลปินชาวเกาหลีตั้งแต่เกิดแล้วก็ตาม

“พยายามเตรียมตัวนานแล้ว แรกๆ ก็สเกตช์ด้วย เขียนหนังสือด้วย เพราะเวลาสเกตช์ก็จะชัดเจนนิดหนึ่ง เวลาเขียน Artist Statement ก็ทำให้จัดระเบียบไอเดีย เสร็จแล้วกีอกก็มีเวลาไปเที่ยว ไปดูวิว วัฒนธรรมต่างๆ ก็กลับมาทำงานต่อ” กีอกค่อยๆ เล่าถึงวิธีการทำงาน จนระทั่งถึงวันที่ความคิดเริ่มสุกงอมและชัดเจน จึงเกิดเป็นผลงานพู่กันจีน 50 ชิ้น และผลงานอื่นๆ ทยอยตามมา โดยระหว่างสร้างสรรค์ผลงานเธอยังทำงานกับคิวเรเตอร์อย่างต่อเนื่อง

 


03

หลายคนอาจคุ้นเคยกับผลงานของ กีอกที่มีงานเพนติ้งเป็นส่วนใหญ่ และอาจมี Installation Art เข้ามาแสดงด้วยในบางโอกาส แต่สำหรับครั้งนี้เปลี่ยนไปจากงานครั้งเก่าๆ เพราะเธอนำเทคนิคและวัสดุใหม่ๆ ที่ไม่เคยใช้มาแสดง ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากคำแนะนำของคิวเรเตอร์

 

“พอศิลปินทำงานแบบนี้นานมากๆ แล้ว มันกลายเป็น Identity ของศิลปินไปแล้ว เลยรู้สึกว่า ครั้งนี้มีความพิเศษและเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่สำหรับศิลปิน ที่อยากให้ผู้ชมได้เข้าใจ ด้วยความที่ศิลปินอยู่กับชี่นานมากๆ เลยกลายเป็นว่า ศิลปินคือตัวชี่เอง” ลิลี่เสริมถึงงานครั้งนี้

 

 

นิทรรศการครั้งนี้ศิลปินตั้งใจทำให้โถงชั้นล่างของหอศิลป์ SAC Gallery เป็นพื้นที่ที่มีพลังชี่หมุนเวียนอยู่รอบๆ ในอากาศ ผ่านผลงานที่มีเพนติ้ง พู่กันจีน วิดีโออาร์ต ประติมากรรม และงาน Installation Art ซึ่งเธอหมายใจให้ผู้ชมสามารถรับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ได้ โดยไม่ต้องเตรียมตัวหรือหาความหมายของชี่มาก่อน

 

“เวลาพูดถึงชี่ในท้องอากาศเป็นได้หลายอย่าง สิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่รู้สึก อาจจะเป็นซาวนด์สเคปก็ได้ อาจเป็นสิ่งที่ศิลปินทำเป็นภาพออกมาเป็นเพนติ้ง หรือสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ มันอาจเป็นกลิ่นก็ได้ แต่อยากให้คนดูรู้สึกถึงมากกว่า” คิวเรเตอร์ช่วยเล่าเพิ่มเติม พร้อมกับเสริมว่า นอกจากอยากให้ผู้ชมมาสำรวจชี่ผ่านผลงานรูปแบบต่างๆ ในงานครั้งนี้แล้ว อีกด้านหนึ่งก็เป็นตัวศิลปินเองที่สำรวจการทำงานประเภทอื่นๆ ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อนด้วย

 

 

04

ท่ามกลางผลงานหลากลายหน้าตาและวัสดุ เราถามทั้งศิลปินและคิวเรเตอร์ ถึงผลงานที่ทั้งคู่ชอบเป็นพิเศษ

 

กีอกตอบว่า ผลงานที่เป็นประติมากรรมคนที่ทำจากสายไฟ ซึ่งเธอนำเอาสายไฟที่ทิ้งไว้ในบ้านมาใช้ในการสร้างผลงาน และใช้เวลาหลายเดือนเพื่อถักทอเส้นสายไฟ จนออกมาเป็นรูปร่างมนุษย์

“แรกๆ เหมือนประติมากรรม แต่พอเสร็จแล้วเหมือนเป็นคนจริง เหมือนอยู่กับคนคนหนึ่ง เหมือนจริงมาก อาจจะเกี่ยวกับชี่ด้วย ก็เลยชอบเขา (หัวเราะ)” กีอกเล่าถึงผลงาน 

 

แม้ปรัชญาชี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างโบราณ ซึ่งสะท้อนผ่านงานชิ้นอื่นๆ ในนิทรรศการ ทว่าเมื่อเดินมาจนจบตามเส้นทางที่คิวเรเตอร์ตั้งใจไว้ จะพบว่าประติมากรรมสายไฟนี้เป็นสิ่งของในปัจจุบัน และน่าจะทำให้เข้าใจพลังชี่ได้ง่ายที่สุด 

 

 

“ด้วยความที่ในโลกเราไม่ค่อยเห็นสายโทรศัพท์แล้ว แต่มันมีควาสำคัญมาก เพราะตัวสายโทรศัพท์นี้เป็นตัวเชื่อมต่อของคนสองคนที่โทรหากัน เป็นสัญญาณที่เรามองไม่เห็น แต่ทำให้คนเชื่อมโยงถึงกัน มันบ่งบอกถึงชี่ ณ ปัจจุบัน และถือเป็นความหมายของชี่ที่เขาใจได้ง่ายที่สุด” ลูกสาวช่วยบอกเพิ่มเติมถึงรายละเอียดต่างๆ ในผลงานครั้งนี้ ก่อนพูดถึงผลงานที่ชอบในฝั่งตัวเองบ้าง

“ชอบงานที่มี 50 ชิ้น เพราะทำให้เข้าใจชี่ในมุมมองของคนโบราณ แต่ศิลปินแสดงออกมาค่อนข้าง Abstract มาก ปกติพู่กันจีนจะเขียนแบบ Traditional เช่น เรือ ต้นไม้ ต้นไผ่ หรือดอกไม้ แต่ศิลปินทำออกมาแบบนามธรรม”

 

หากสังเกตจะพบว่า ภาพจากปลายพู่กันจีนทั้ง 50 ชิ้น เมื่อมารวมกันจะเห็นถึงความแตกต่างในแต่ละชิ้น เพราะมีลายเส้นไม่เหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่ทั้งคู่อยากสื่อสาร ไม่ใช่การชวนคนดูหาว่าภาพนั้นคืออะไร แต่ยังมีบางสิ่งที่ซ่อนอยู่นั่นคือ “พื้นหลังที่ว่างเปล่า”

 

ในการเขียนพู่กันจีน ที่ว่างนอกเหนือจากที่น้ำหมึกสีดำถือเป็นส่วนที่ศิลปินจีนโบราณให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นองค์ประกอบที่สะท้อนความสมดุลในงาน 

 

 

“ที่ว่างเป็นส่วนหนึ่งของงานเพนติ้ง ส่วนใหญ่พู่กันจีนต้องมีที่ว่างมากกว่าที่ลงหมึก ดังนั้น จึงสำคัญมาก เพราะทำให้มีชี่อยู่ข้างใน ไม่ใช่แค่ที่ว่างอย่างเดียว และก็สามารถจินตนาการต่อไปได้” กีอกอธิบายเพิ่ม

 

ก่อนจบบทสัมภาษณ์นี้ สำหรับใครที่อ่านเนื้อหาหรือคอนเซปต์งานแล้วมองว่า ชี่ เป็นสิ่งที่ดูเข้าใจยาก หรือกลัวไม่เข้าใจสิ่งที่ศิลปินต้องการจะสื่อ ศิลปินหญิงฝากทิ้งท้ายไว้ว่า

 

“งานนี้มันเงียบ ดูแล้วนิ่งๆ แต่จริงๆ มันเคลื่อนไหวอยู่รอบตัวเรา อยากให้คนมาดูแล้วรู้สึก ไม่ใช่มาดูว่าเราเขียนอะไร เข้ามาแล้วมันเงียบมาก ต้องโฟกัสอะไรสักอย่าง สุดท้ายก็เข้าใจแล้ว ไม่ใช่เข้าไปปุ๊บแล้วเข้าใจก่อนดูงาน”

 

เพราะชี่เป็นสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ทั่วสรรพางค์กายและรอบตัวเรา

 

 



 


Between Breath and Gaze: Feeling the Unseen in "Firmament in Flux"
by Gi-ok Jeon
 

When we hear the word “Qi,” we might immediately think of martial arts or fantasy films. But in fact, Qi is a form of energy believed to flow within all living beings, including us humans. Though it has no visible form, it plays a vital role in our lives, powering everything we do from childhood to adulthood.

 

“Firmament in Flux” is the latest solo exhibition by Korean artist Gi-ok Jeon, curated by Lily Tanprasert. This special show explores the invisible energy known as Qi through a wide range of artistic media.

 

After the exhibition opened, we had a chance to sit down with the artist and the curator to talk about the deeper meanings and behind-the-scenes stories of the works on display.

 

 

01

Jeon chose the exhibition title by bringing together two words that aren’t often paired. “Firmament,” an old and poetic word for the sky, also has deeper meaning in biblical cosmology, where it refers to the boundary between the waters above and the earth below. Then she added “in Flux,” which refers to movement and constant change.

By combining these words, Jeon wanted to express the feeling of something that’s always moving — not just in the sky, but in everything around us, whether it’s people, nature or the universe. That movement, to her, is Qi.

 

“In China, Korea and Japan, it’s just common knowledge. Everyone understands it,” Jeon says. She compares Qi to wind. “You feel it when it blows and cools you.”

 

While the idea may be less familiar to Thai audiences, Qi is deeply rooted in East Asian culture and thought, often connected to religion and spirituality.

 

Much of Jeon’s past work also carries this invisible energy, almost like her personal signature. Her themes have included cross-cultural aesthetics, motherhood and personal experience. In all of them, Qi has quietly been there in the background. But this time, it takes centre stage.

 

 

02

When visitors step into the exhibition, they first see a wall text explaining the concept of the show. Right next to it, Tanprasert presents the books Jeon read, the sketches she made and the thoughts that shaped the works.

 

“We planned the layout to start in the centre,” Tanprasert says. “There’s the wall text and an introduction to Gi-ok’s sketches — what she was reading, what inspired her and how the work developed from there.”

 

This is a special exhibition for Tanprasert in more ways than one. After studying curating in London, it’s her first time curating a show in Thailand. It’s also the first time she’s curated her mother’s work.

 

 

“We started talking about it while I was still studying. We talked every day,” she says. “It was easier in some ways because I already knew the material. I didn’t need to do much extra research. But seeing each other all the time also made it more intense,” she laughs.

She says it wasn’t always easy to separate her roles as curator and daughter. “Sometimes it wasn’t clear which one I was being at any given moment.”

 

Jeon spent more than two and a half years preparing for this exhibition. Even though Qi is something she’s grown up with, she wanted to explore it deeply before creating the work.

“I started with sketches and writing, which helped clarify things,” she says. “Writing the artist statement helped organise my ideas. Then I travelled and absorbed different cultures. After that, I came back and began to create.”

 

 

03

Jeon is best known for her paintings, sometimes accompanied by installation work. But this show is different. She introduced new materials and methods, partly thanks to suggestions from Tanprasert.

 

“Jeon’s been working in the same way for so long that it’s become part of her identity,” Tanprasert says. “This show is a big step. It’s really special. She’s lived with Qi for so long that in some ways, she’s become it.”

 

She transformed the first floor of SAC Gallery into a space where Qi flows through the air. Her work includes brush paintings, calligraphy, video, sculpture and installation. The effect is subtle but powerful.

 

 

“Qi in the air can show up in many forms,” Tanprasert says. “It might be sound, it might be an image, it might even be a scent. The goal isn’t to explain it, but to help people feel it.”

This exhibition is also a moment of experimentation for Jeon, who explored formats she hadn’t worked with before.

 

04

With so many works on view, we asked the artist and the curator which ones were their favourites.

 

Jeon chose a life-sized sculpture made of old telephone wire she found at home. It took her months to weave it into the shape of a person.

 

“At first it looked like just a sculpture, but over time it felt like someone was living with me,” she says. “Maybe that’s Qi, too.”

 

 

The piece is also a powerful metaphor for Qi in the modern world. “We don’t see telephone wires much anymore, but they’re essential. They connect people through signals we can’t see,” Tanprasert says. “It’s a simple way to understand Qi.”

 

Her own favourite is a series of 50 abstract brush paintings. “They reflect a traditional view of Qi, but in a very abstract way,” she says. “Normally, Chinese brush painting shows things like bamboo or boats or flowers, but these don’t. And every piece is different.”

Each painting has its own rhythm and style, but what stands out is not just the painted part — it’s the blank space.

 

In Chinese painting, empty space matters as much as the ink. “The blank space is part of the painting,” Jeon explains. “Usually there’s more blank than ink. That’s where Qi lives. It’s not just empty. It lets your imagination move.”

 

 

Before we ended the conversation, Jeon had something to say to visitors who might worry that the concept of Qi sounds hard to grasp.

 

“This show feels quiet and still, but actually, it’s moving all around you. I want people to come and feel something — not just come and read what I’ve written. It’s very quiet at first, so you have to focus. But once you do, something inside begins to shift. That’s when you understand. Not before, but through the experience.”

 

Qi flows through every part of our bodies, and through everything around us.




Click to see more artworks here

Add a comment