Dark Was the Night - ผีพุ่งไต้

9 May - 6 July 2024

Taiki Sakpisit (b.1975) presents Dark Was the Night for his third solo exhibition at SAC Gallery, drawn from Blind Willie Johnson’s blues song of the same title. Inspired by this melancholic lament, Sakpisit delves deeply into cosmic themes, planetary cycles, painful memories and traumas. The exhibition blurs the line between wakefulness and dreams, prompting reflections on the enduring bonds of shattered relationships. These reflections stir memories and persistent dreams from a recessed past that continue to resurface.


In 1977, NASA launched the Voyager Golden Record, which carried the sounds that they considered to be the most beautiful and diverse ever created on earth, such as the sound of people kissing; heartbeats; greetings in 50 languages, as well as culturally significant music, including Blind Willie Johnson’s Dark Was the Night, Cold Was the Ground (recorded in 1927). The effort was conducted to serve as an interstellar communication as well as an outreach from humanity to any extraterrestrial civilization. 


Sound can connect us. Sonic waves have long been used by humans and animals to create images, as in ultrasound; as well as sensing nearby enemies, obstacles, friends, or family through echoes as used by bats and dolphins. Sakpisit carefully explores this theme throughout the exhibition by drawing inspirations from the Voyager Golden Record and various other sounds and music.

 

A two-channel video installation titled, Dark Was the Night (2024), closely examines the psyche and emotional state of a woman who is separated from her loved one. Though unable to physically reconnect with her kins, she can sense the connections through the metaphorical echoes, like the way a pregnant mother can connect with her child through the thump of heartbeats. 


By referencing  a wide range of visual, musical and cultural sources, Sakpisit also presents etching prints and photographs inspired by celestial themes, orbital motions, and the October 6, 1976 Thammasat University massacre, bridging the realms between the wake and the dream state.

 

The gravitational pull and the rotating force extend beyond the physical sense, and perhaps may allude to the familial bond that will always pull towards each other; or memories and haunting dreams from distant past that keep returning. Complimentary to the prints is an orbiting sculpture, spinning around like a satellite – always watching, always surveilling us. Is it wise to chase after the light - the dream beyond our world - or are we allured to something harmful like a moth to a flame?


Like the Voyager Golden Record, Sakpisit’s works offer a way to create new connections and to revisit old ones. Can we find our ideals, our light, in the deep, dark space? At once lyrical and ambiguous, Sakpisit’s exhibition sings a lullaby to transport us to a state of hypnagogia – the consciousness between wakefulness and sleep. 


SAC Gallery invites our audience to navigate around the gallery, exploring the visions, sounds, and echoes of their memories, traversing between earth and space; dreams and realities; our own selves and those that we long for or have forgotten.



This exhibition is made possible by Bangkok Art Biennale, Kenkoon, PDM Brand, and C.A.P Studio

 

__________

 

ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ (เกิด พ.ศ. 2518) นำเสนอ Dark Was the Night-ผีพุ่งไต้ นิทรรศการเดี่ยวครั้งที่ 3 ณ เอส เอ ซี แกลเลอรี ซึ่งหยิบยกมาจากเพลงบลูส์ชื่อเดียวกันของนักร้องนักดนตรีตาบอด วิลลี จอห์นสัน ด้วยแรงบันดาลใจจากบทเพลงอันเศร้าโศกนี้ ไทกิดิ่งลึกสู่ความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด วัฏจักรของดวงดาว ความทรงจำอันรวดร้าว และความเจ็บช้ำ นิทรรศการนี้ได้เลือนเส้นแบ่งระหว่างการตื่นและห้วงฝัน ชักชวนให้ไตร่ตรองถึงความผูกพันอันจีรังท่ามกลางความสัมพันธ์ที่แหลกสลาย ซึ่งกระตุ้นความทรงจำและความฝันคงค้างในอดีตที่ถูกลืมเลือนให้ปรากฏตัวขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

พ.ศ. 2520 องค์การนาซาส่ง “แผ่นเสียงทองคำโครงการวอยเอเจอร์” บรรจุเสียงอันไพเราะและหลากหลายที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนโลก เสียงจูบ เสียงหัวใจเต้น เสียงทักทายใน 50 ภาษา บทเพลงอันเป็นตัวแทนวัฒนธรรม รวมถึงบทเพลงตราตรึงของ วิลลี จอห์นสัน “Dark Was the Night, Cold Was the Ground” (บันทึกเสียงใน พ.ศ. 2470) สู่โพ้นจักรวาล ให้ภารกิจนี้เป็นทั้งการสื่อสารระหว่างดวงดาวและสัญญาณจากมนุษยชาติสู่อารยธรรมอื่นนอกโลก

 

เสียง คือสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงเราเข้าด้วยกัน มนุษย์และสัตว์โลกใช้คลื่นเสียงเพื่อสร้างภาพหรือหาตำแหน่งวัตถุมาเนิ่นนาน เช่นเทคโนโลยีอัลตร้าซาวนด์ รวมถึงการรับรู้สิ่งรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นศัตรู สิ่งกีดขวาง พวกพ้อง หรือเครือญาติ ผ่านเสียงสะท้อน เหมือนค้างคาวและโลมา ไทกิได้สำรวจเจาะลึกประเด็นนี้อย่างละเอียดลออ โดยบ่มเพาะความสนใจจากแผ่นเสียงทองคำโครงการวอยเอเจอร์ และดึงเอาเสียงต่างๆ ทั้งท่วงทำนองดนตรีมาผสานกลมกลืนกัน 

 

ผลงานวิดีโอจัดวางสองจอในชื่อ “Dark Was the Night-ผีพุ่งไต้” (2567) เข้าไปสำรวจจิตใจและความรู้สึกของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต้องพรากห่างจากบุคคลที่รัก และแม้ว่าเธอจะไม่มีวันกลับไปพบเขาได้ เธอก็ยังรับรู้ถึงสายใยที่เชื่อมโยงกัน อุปมาดังเสียงสะท้อน เฉกเช่นแม่ที่รับรู้ถึงลูกน้อยในครรภ์ด้วยจังหวะการเต้นของหัวใจ

 

และด้วยแหล่งที่มาการค้นคว้าที่หลากหลายทั้งด้านภาพ เสียง และวัฒนธรรม ไทกิก็ได้นำเสนอภาพพิมพ์โลหะและภาพถ่ายอิงจากท้องฟ้า การโคจรของดวงดาว และเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างยามเราตื่นและโลกแห่งความฝันอันลึกลับ แรงโน้มถ่วงและแรงหมุนอันทรงพลัง มิได้หยุดอยู่เพียงมิติทางกายภาพ แต่ทอดไปไกลกว่านั้น  เสมือนสายใยแห่งครอบครัวที่ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด ก็ยังคงดึงดูดกลับมาหากันเสมอ หรือความทรงจำและฝันร้ายอันเลือนรางจากอดีตอันยาวนาน ที่คอยหวนกลับมาหลอกหลอนเราอยู่เรื่อยไป เสริมด้วยประติมากรรมจำลองวงโคจร หมุนวนประหนึ่งดาวเทียม คอยเฝ้าดูและสอดส่องเราอยู่ไม่ห่าง …มีเหตุผลอะไรกัน ที่เราจะต้องมุ่งไล่ตามแสงสว่างนั้น ซึ่งเป็นดั่งฝันที่ไกลลิบลับ หรือเราต่างหลงใหลในอันตราย ไม่ต่างจากแมลงเม่าที่มุ่งเข้าสู่กองไฟ

 

เช่นเดียวกับแผ่นเสียงทองคำโครงการวอยเอเจอร์ ผลงานศิลปะของไทกิครั้งนี้ ก็เหมือนสื่อเชื่อมต่อความสัมพันธ์ใหม่ๆ ขณะที่ฟื้นคืนความสัมพันธ์เก่า …ท่ามกลางอวกาศอันกว้างใหญ่และมืดมิด เราจะค้นพบแสงสว่างของเราได้หรือไม่ 

 

นิทรรศการของไทกิซ่อนแฝงทั้งความงามและเลศนัย เป็นราวกับบทเพลงกล่อมเด็กที่จะพาเราเดินทางสู่สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น (Hypnagogia) เอส เอ ซี แกลเลอรี ขอเชิญชวนผู้ชมร่วมสำรวจนิทรรศการ เสาะแสวงหาภาพ เสียง และเสียงสะท้อนแห่งความทรงจำ

เดินทางข้ามผ่านระหว่างโลกและอวกาศ ความฝันและความจริง ตัวตนของเราเอง กับคนที่เรายังคงโหยหา หรือคนที่เราได้ลืมเลือนไป



นิทรรศการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Bangkok Art Biennale, Kenkoon, PDM Brand และ C.A.P Studio